ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เมื่อองค์กรหนึ่งจัดงานใหญ่

โดยปรกติแล้ว เมื่อมีการจัดงานอะไรสักอย่างขึ้นมาแล้วถึงคราวเลิกรากันไป ก็จะมีการกล่าวขอบคุณทีมงานทุกๆ ฝ่ายที่ร่วมแรงร่วมใจกันจัดงานขึ้นมาจนประสบผลสำเร็จ สำหรับผมแล้วคำกล่าวชื่นชมเป็นการให้กำลังใจที่ดี แต่การรวบรวมข้อผิดพลาดในการจัดงานแล้วหาวิธีแก้ไขที่ดี (ไม่ใช่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า) น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าหากมีการจัดงานในครั้งต่อไป พอดีผมมีโอกาสเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครให้กับงานที่จัดขึ้นโดยองค์กรหนึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นงานเล็กๆ รู้จักกันในวงจำกัดแต่ก็ถือได้ว่าเป็นงานใหญ่ในภูมิภาค เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมงานจากหลายประเทศนั้นเอง ผมได้มีหน้าที่ในการรับลงทะเบียนผู้เข้าร่วมงานและพาออกไปเที่ยวนอกสถานที่ จากการได้รับแจ้งและประชุมเล็ก 2 - 3 ครั้ง ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรที่ต้องน่าหนักใจมากนัก (ก็แค่รับลงทะเบียนแล้วพาไปทัวร์ นี่น่า จริงใหม :D)

ก่อนวันงานเราได้ขนย้ายของที่ฝ่ายอื่นจัดการไว้ให้ไปที่สถานที่จัดงาน ประกอบไปด้วยรายชื่อ ของที่ระลึก ป้ายต่างๆ โดยทั่วไปแล้วการเตรียมงานก็น่าจะมีแค่นั้นไม่น่าจะมีอะไรมากกว่านี้แล้ว เสร็จแล้วก็ข้ามไปวันจริงกันเลย ในวันงานก็เป็นปรกติเหมือนที่คาดการไว้ มีความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อยเกี่ยวกับป้ายชื่อที่ผิดพลาด และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่ไม่ถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น หลายๆ อย่างก็ไม่ได้เป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากผู้จัดงาน เนื่องจากผู้เข้าร่วมงานได้แจ้งข้อมูลมาผิดพลาดเอง แต่แล้วก็กลายเป็นว่าผู้จัดผิดพลาดเอง (งงเหมือนกัน) บางคนก็เข้าใจ บางคนก็พยายามจะเข้าใจ ส่วนบางคนก็ไม่แม้แต่พยายามจะเข้าใจ T__T อาจเป็นเพราะว่าธรรมเนียมปฏิบัติในแต่ละประเทศแตกต่างกัน ยกตัวย่างง่ายๆ เช่น สำหรับประเทศไทยแล้วการใช้งาน WiFi นั้นจะต้องมีการระบุตัวตนว่าใครเป็นผู้ใช้ ทางผู้จัดงานได้เตรียมชื่อผู้ใช้งานเป็นรายบุคคลแล้ว เพียงแค่มาเขียนชื่อผู้ใช้งานระบบลงในกระดาษเท่านั้น แต่สำหรับบางประเทศแล้วอาจจะเป็นเรื่องยุ่งยากก็เป็นได้ มีการแสดงอาการไม่พอใจให้เห็นอยู่บ้างเหมือนกัน สิ่งเหล่านี่เป็นปัญหาที่เจอสำหรับเรื่องที่ผมได้เข้าร่วมงานในจุดนี่ แต่ถ้าจะให้ดี เราน่าจะมีคำอธิบายที่เป็นลายลักษณ์อักษรชี้แจงไว้ด้วยในคู่มมือจัดการแข่งขัน ผู้ร่วมงานจะได้เข้าใจมากขึ้นและลดแรงปะทะระหว่างทีมงานและผู้เข้าร่วมงาน (อาจเป็นเพราะเราไม่ได้ใช้ภาษาแม่เดียวกันในการสื่อสารก็ได้นะครับ)

ดูเหมือนหลังจากนั้นงานต่างๆ ก็น่าจะดำเนินไปด้วยดีจนมาถึงการพาไปทัศนศึกษานอกสถานที่ เนื่องจากการจัดตารางเวลาที่กระชั้นชิดเกินไป ทำให้อะไรหลายๆ อย่างดูไม่ทันเวลาไปหมด และผลที่ได้ก็คือไม่ทันเวลาจริงๆ หลังจากเสร็จงานในช่วงบ่าย ผู้เข้าร่วมงานจะต้องไปทานข้าวและมีการถ่ายภาพร่วมกัน หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วหลายๆ คนก็นั่งผักผ่อนอิริยาบทไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะถึงเวลาถ่ายภาพร่วมกันแล้วก็ตาม เหตุผลหลักๆ คือไม่มีใครปบอกเหล่าผู้ร่วมงานนั้นเอง ถึงแม้ว่าจะมีกำหนดการในตารางเวลาที่แจกให้ทุกคนแล้วก็ตาม ถึงเวลาถ่ายภาพก็ยังล่าช้าอยู่ดี อีกทั้งอากาศมันร้อนมากจึงไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากผู้ร่วมงานเท่าไหร่นัก กว่าจะถ่ายภาพเสร็จก็ใช้เวลาพอสมควรทีเดียว หลายคนเลยอารมณ์เสียและหงุดหงิดตั้งแต่ตอนนั้น และยิ่งไปกว่านั้นคือผู้ร่วมงานหลายคนล้าและเหนื่อยเกิดกว่าที่จะไปเที่ยว ผลที่ได้ก็คือการบ่นว่า ร้อน หิว เบื่อ ไกล แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคืออารมณ์ของผู้เข้าร่วมงานที่ส่งมายังคนพาไปเที่ยวนั้นคือพวกผม ดูจะเป็นอะไรที่น่าอึดอัดไม่น้อย ทั้งๆ ที่พาไปเที่ยวนะ :P สถานที่เที่ยว บางแห่งออกจะไกลไปสักหน่อยบวกกับการจราจรที่หนาแน่นในบ่ายวันศุกร์ ก็น่าจะบอกได้อย่างดีว่าจะเกิดความล่าช้าขึ้นในการเดินทางอย่างแน่นอน ทำให้พิธีปิดผิดแผนไปมากทีเดียว กลายเป็นคนที่ดูแลผู้ร่วมแข่งขันบางกลุ่มที่ไปถึงก่อนถูกผู้ดูแลพิธีปิดรบเร้าให้โทรตามกลุ่มอื่นๆ เพื่อได้ร่วมพิธีปิดพร้อมๆ กัน ซึ่งอย่างไรแล้วก็ไม่เป็นผลอยู่ดี T__T จริงๆ แล้วหากดูเวลาดีๆ ก็จะรู้ว่าอย่างไรแล้วก็ไม่ทัน และการที่จะให้อภิสิทธิคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไปเที่ยวแล้วให้อีกกลุ่มรออยู่ที่รถก็เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เช่นกัน จริงหรือเปล่า >O< โดยสรุปแล้วการจัดงานที่ขึ้นอยู่กับเวลา ต้องมีผู้ควบคุมเวลาสักคนที่จะต้องค่อยบอกทุกฝ่ายว่าเวลาใหนควรทำอะไร ไม่อย่างนั้นก็จะสายกันไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนด ถึงอย่างไรแล้วทุกคนก็ไปถึงสถานที่จัดพิธีปิดอย่างสวัสดีภาพนะ \o/

เสียงเล็กๆ จากคนที่ได้ชื่อว่าอาสาสมัคร จากการได้พูดคุยกับอาสาสมัครท่านอื่นได้ความว่า ลักษณะงานที่แต่ละคนได้รับหมอบหมายไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งปรกติแต่ละงานจะไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว แต่ในครั้งนี้บ้างท่านอาจจะได้รับงานที่หนักเกินไป มีเวลาพักน้อยเนื่องจากงานที่ต้องทำหลายหน้าที่มากเกินไปนั้นเอง แต่สำหรับบางคนก็ได้งานสบายมากไม่ต้องทำอะไรมากมายและไม่เครียดกับการดำเนินงานมากนัก เลยมีเสียงบ่นเล็กๆ ออกมาบ้างจากคนที่ทำงานหนักเกินไป ครั้งต่อไปอาจจะต้องแบ่งภาระงานให้สมดุลมากกว่านี้ แต่สำหรับผมแล้วสิ่งที่รับไม่ได้มากที่สุดคือการดูแลพวกเรา เนื่องจากโดยปรกติแล้วในการจัดงานลักษณะนี้จะต้องมีอาหารไว้รับรองทั้งผู้ร่วมงานและอาสาสมัคร และอาหารมักจะเป็นอาหารชุดเดียวกัน แต่งานนี้แยกอาหารเที่ยงออกเป็นสองชุดโดยผู้เข้าร่วมงานหลักได้รับประทานอาหารอย่างดี ใส่กล่องใส สามารถเลือกอาหารได้หลายอย่าง สมกับเป็นงานระดับประเทศ แต่กับอาสาสมัครแล้ว ให้กินข้าวกล่องโฟมสีขาว ไม่มีให้เลือกแถมยังต้องกินด้านนอกอาคาร ร้อนมาก (อย่างกับลูกเมียหลวงกับลูกเมียทาส) หากคนไม่คิดอะไรก็ไม่มีอะไร แต่สำหรับผมแล้วผมว่ามันแตกต่างกันเกินไป หากมีคนที่เป็นผู้ร่วมงานมีเพื่อนเป็นอาสาสมัครมันจะเกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจนเกินไป อาสาสมัครคืออาสามาทำงาน เราไม่ได้รับสิ่งตอบแทนแต่มาช่วยด้วยใจ แต่ได้รับการดูแลจากคณะผู้จัดงานอย่างไม่เท่าเทียม สิ่งนี้ทำให้เสียกำลังไจไม่น้อยเลยทีเดียว อีกอย่างหนึ่งทางคณะผู้จัดกลับรับประทานอาหารชุดเดียวกับผู้เข้าร่วมงานอื่นๆ อีก ยิ่งทำให้ผมน้อยใจมากไปกว่าเดิมอีก ปรกติผมไม่ใช้คนคิดเล็กคิดน้อยอะไรวันแรกที่เจอยังมีคนถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ผมตอบไปว่าเขาคงไม่มีงบมากมั้ง แต่ในวันที่สอง เราไม่ได้ทานอาหารพร้อมกับผู้ร่วมงานอื่นๆ จึงทยอยกันไปกิน ตอนนั้นอาหารสำหรับอาสาสมัครยังมาไม่ถึงจึงนึกว่าวันนี้คงเป็นอาหารชุดเดียวกับผู้ร่วมงานอื่นๆ พอจะเข้าไปในห้องอาหาร ได้ยินคำพูดจากคณะผู้จัดที่ว่า "น้องค่ะของน้องอยู่ข้างนอกค่ะ อย่ามาเอาอาหารในนี่นะค่ะ พี่ขอร้อง" มันทำให้สะเทือนใจมากเลยทีเดียว ตกลงว่าผมไปขอท่านผู้จัดทั้งหลายเลี้ยงข้าวผมใช่หรือเปล่า น้อยใจจริงๆ ครับงานนี้ เราไปช่วยก็ช่วยดูแลเราบ้างครับ อย่าทำอย่างนี้เลย มันน่าน้อยใจจริงๆ ครับ

สุดท้ายนี้ Blog นี้ก็คงยังอยู่ที่นี่ตามเคย และไม่ต้องการให้เป็นเรื่องเป็นราวอะไร แค่อยากให้รับรู้ว่าสิ่งที่ผิดพลาดคืออะไรบ้างและควรจะแก้ไขอย่างไรเท่านั้น หากใครอัดอั้นตันใจเรื่องอะไรก็อย่าระบายในนี้นะครับ อาจจะเกิดขัดใจกันเปล่าๆ ด้วยความหวังดีจากใจจริงครับ

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวเอ๋ยตัวผม

กลอนนี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเขียนขึ้นมาในห้องเรียนวิชาสัมนา 1 เพราะอาจารย์อยากให้แนะนำตัวเองเป็นกลอน ไม่รู้จะแต่งว่าไงเลยแต่งออกมาเป็นดอกสร้อย เห็นว่าพอใช้ได้เลยเอามาลงไว้เป็นอนุสร ๏ ตัวเอ๋ยตัวผม นิยมในพระพุทธศาสนา ตั้งจิตตั้งใจตั้งหน้า ใฝ่หาความรู้สู่ตน ตั้งใจศึกษาให้เชี่ยวชาญ ชำนาญในศาสตร์ที่ฝึกฝน ฝึกจิตฝึกสันดานให้เป็นคน เป็นชนในชาติที่ดีเอย ๚ะ๛

บันทึกการจัดงานศพ: พิธีฌาปนกิจศพ

ตรงส่วนนี้คงจะเขียนเกี่ยวกับพิธียกศพออกจากบ้าน และเกร็ดต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ เนื่องจากที่จัดงานจะไม่นิยมไว้ศพที่วัด จะไว้ศพที่บ้าน และถ้าเป็นไปได้จะไว้ศพในบ้านเสียด้วยซ่ำ เมื่อถึงวันฌาปนกิจศพ หรือเผาศพ ก็จะมีการเซ่นไหว้ครั้งใหญ่ก่อนเคลื่อนย้ายศพไปวัดเพื่อฌาปนกิจ เครื่องเซ่นไว้จะประกอบไปด้วย ข้าว 5 ถ้วย กับข้าว 5 อย่าง หัวหมู ไก่ต้ม ไข่ต้ม หมูสามชั้นต้ม หมี่เหลืองผัด กุ้ง หอย ปู ปลา ผลไม้ 5 อย่าง ขนมขึ้น เมื่อมีการเซ่นไหว้ทุกครั้งจะต้องมี สัปรด น้ำชา 3 จอก เหล้าขาว 5 จอก(หลานๆ บอกว่าเจ็คไม่กินเหล้าขาว แต่มีคนบอกว่าเป็นการไหว้ตามประเพณี ^^ ) ซึ่งแต่ละอย่างมีความหมาย แต่ผมจำไม่ได้ต้องหาอีกครั้งนึง ตัวอย่างเครื่องเซ่นไหว้ เมื่อถึงพิธีเซ่นไหว้ จะมีการเซ่นไหว้โดยแบ่งออกเป็นคณะ แต่เพื่อความสะดวกและรวบรัดจึงมีการไหว้เพียงไม่กี่คณะ ซึ่งก็เหมือนเดิมคือผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าจะไม่รวมการเซ่นไหว้ครั้งนี้ คณะแรกจะเป็นผู้ไกล้ชิดผู้ตายมากที่สุดเริ่มตั้งแต่ลูกและภรรยา หลังจากนั้นก็จะเป็นน้องๆ แล้วก็หลานๆ และก็มิตรรักและผู้คนที่นับถือผู้ตาย หากเป็นเมื่อสมัยก่อนนั้น ต้องแยกออกเป็นเขย เป็นสะไภ้ ไหว้กันหลายยกหล

ด้วยระลึกถึงคุณย่า บันทึกจากความทรงจำ

บันทึกนี้เขียนขึ้นเพื่อบันทึกความทรงจำของผมที่มีต่อคุณย่าที่ล่วงลับไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนคืน คุณย่าเปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ร้อยครอบครัวใหญ่ของเราเอาไว้ไม่ให้แตกแยก หลังจากที่เสียคุณปู่ไปเมื่อ 23 ปีก่อน เนื่องจากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต มีชาวจีนอาศัยอยู่มาก แต่มักจะเป็นชาวจีนที่อพยพมาไทยนานแล้ว จากการการสังเกตของผม ชาวจีนแถบนี้โดยมากน่าจะเป็นชาว เปอรานากัน หรือชาวจีนที่อพยพมาจากจีนแล้วตั้งถิ่นฐานอยู่ในแหลมลายูหรืออินโดนีเซีย แล้วหลังจากนั้นจึงอพยพมาอาศัยต่อที่ประเทศไทย จากการบอกเล่าของคุณแม่ ก๋งเคยเล่าให้ฟังว่าตอนยังเด็กเคยแจวเรือจ้างอยู่ที่ปีนัง คุณย่าเคยเล่าว่าเป็นชาวฮกเกี้ยน อีกทั้วจากรูปวาดคุณย่าทวดที่มีการเกล้ามวยผม สวมเสื้อคอลึก ส่วนทางบ้านมีการใช้คำเรียกจีนผสมไทยถิ่นใต้อยู่มาก ผู้หญิงทุกคนนิยมสวมผ้าปาเต๊ะ เสื้อลูกไม้ (เสื้อฉลุลายดอกไม้) อาหารการกินเป็นแบบชาวไทยถิ่นใต้ทุกประการ (กินน้ำพริก แกงส้มเก่งกันทุกคน ยกเว้นก๋ง :D) อีกทั้งก๋งเกิดที่ดินแดนแถบนี้ไม่ได้เดินทางมาจากเมืองจีน (บางทีเรียก เตี่ยต่อเตี่ย คือ ทวดมาจากจีน ส่วนสถานที่เกิดไม่แน่ใจว่าเป็นปีนังหรือไทย)