ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ไปเที่ยวฉงชิ่ง

หลังจากส่งบทความทางวิชาการ ไปยัง The 2012 5th International Congress on Image and Signal Processing (CISP 2012) และได้รับการพิจารณาให้เข้าร่วมนำเสนอผลงานในงานประชุมวิชาการที่เมืองฉงชิ่ง จึงมีโอกาสไปเยือนประเทศจีนครั้งแรกในชีวิต ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เมืองเอกอย่างปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นเมืองใหญ่ทีเดียว ผมเริ่มเดินทางออกจากประเทศไทยโดยสายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งมีเส้นทางบินตรงไปยังเมืองฉงชิ่งจากกรุงเทพ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางใช้เวลาประมาณสามชัวโมง ในเที่ยวบินมีชาวจีนเต็มลำ มีคนไทยบ้างนิดหน่อย พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินพูดจีนได้ด้วย :D
เมื่อออกจากสนามบินความรู้สึกแรกคือหนาว เต็มไปด้วยหมอก ตั้งอยู่บนขุนเขา และเริ่มรู้สึกเป็นมนุษย์ต่างดาวขึ้นมาทันทีเพราะไปคุยกับคนเรียกแท็กซี่ แต่เขาพูดจีนใส่ :( โชคดีที่พิมพ์ภาษาจีนไปด้วยว่าอยู่แถวใหน ชื่อโรงแรมอะไร เลยได้ไปถึงโรงแรมสมใจ ภายในแท็กซี่ก็เป็นเหมือนรูปด้านล่าง บางคันก็มีกรงแบบที่เห็น บางคันก็ไม่มี เมื่อถึงโรงแรมปรากฏว่าพนักงานต้อนรับ พูดภาษาอักฤษไม่ได้เลย ตอนแรกคาดหวังว่าจะพูดได้บ้าง แต่แล้วก็ T__T ดีตรงที่ว่าจองโรงแรมผ่านเว็บเลยไร้ปัญหาเรื่องห้องพัก และพิมพ์เอกสารการจองมาเรียบร้อยเป็นภาษาอังกฤษกับภาษาจีน
ภายในแท็กซี่

ห้องพักภายในโรงแรม
ปลั๊กไฟภายในโรงแรม สามารถใช้ได้ไร้ปัญหา
 เนื่องจากโรงแรมที่จองไว้ไม่ใช้โรงแรมที่จัดประชุม ไปถึงเลยสำรวจหน่อยว่ามันอยู่ตรงในกันแน่ เลยพบว่า Google Map เมืองฉงชิ่งกับ GPS ของ Galaxy Tab คลาดเคลื่อนกันมาก ตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะหมอกแต่ที่ใหนได้ มันคลาดเคลื่อนจริงๆ แต่ map ของ Google Map ค่อนข้างละเอียดทีเดียว เลยลองอีก Map นึงนั้นก็คือ OpenStreetMap ที่แคชเอาไว้ ผลคือรายละเอียดค่อนข้างตรง แต่ไม่มีข้อมูลอะไรเลยใน Map T__T เลยเปิดเทียบกันระหว่างสอง Map แทน เดินไปเดินมาเจอร้าน KFC เลยแวะกินสักหน่อย ก็ได้ข้าวราดลูกชิ้นผัดซอส มีไก่ทอดหนึ่งชิ้น กับโค้ก ราคา 20 หยวน หากเทียบกับมื้ออื่นจัดว่าค่อนข้างแพง (แต่ KFC บ้านเราก็แพงอยู่แล้วนี่น่า) รสชาติออกหวานเล็กน้อย ลูกชิ้นเนื้อนุ่ม อร่อยดี ต่างกับอาหารพื้นถิ่นของเมืองนี้อย่างสิ้นเชิง :D
KFC ข้าวกับลูกชิ้นราดข้าว มีโค้กกะไก่ทอดหนึ่งชิ้น 20 หยวน
 โรงแรมที่ใช้จัดงานประชุมตั้งอยู่บริเวณเดียวกับศาลาประชาคมเมืองฉงชิ่ง ตอนแรกหาทางขึ้นไม่เจอเดินอยู่หลายรอบเหมือนกัน เพราะตัวโรงแรมกับศาลาประชาคมมีรูปแบบเหมือนกัน เลยคิดว่าโรงแรมเป็นส่วนหนึ่งของศาลาประชาคม แต่โรงแรมดันอยู่ข้างหลังไม่มีป้ายจากถนนใหญ่ แต่มีป้ายใหญ่โตตรงทางขึ้นหลงเดินกันรอบทีเดียว ตอนกลางวันจะมีนักท่องเที่ยวจากเมืองต่างๆ มาเที่ยวที่ศาลาประชาคมกันเยอะมากส่วนใหญ่เป็นชาวจีนด้วยกันเอง ถัดจากศาลาประชาคมลงมาเป็น จตุรัสประชาชน มีคนมาทำกิจกรรมกันเยอะมากโดยเฉพาะช่วงเย็นถึงค่ำ มีทั้งเต้นรำ เต้นประกอบเพลงอะไรทำนองนี้ครับ สนุกสนานทีเดียว
ศาลาประชาคม
โรงแรมที่จัดประชุม Chongqing DLT Hotel
ประตูก่อนถึงจตุรัสประชาชน
แม่ค้าขายส้มมีให้เห็นได้ทั่วไปรอบๆ บริเวณศาลาประชาคม กิโลเป็นแบบ ตราชั่งที่ใช้เหล็กถ่วงเอาเหน็บอยู่ที่กระบุงด้านขวา
บรรยากาศยามค่ำคืน
ตอนเย็นๆ ค่ำๆ ชาวบ้านเขาออกมาเต้นรำกันสนุกสนานทีเดียว
ตรงข้ามกับศาลาประชาคมเมืองฉงชิ่งจะเป็นพิพิธภัณฑ์ China Three Gorges Museum เราสามารถเข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์ได้ฟรี ภายในมีห้องจัดแสดงหลายห้องหลายชั้นด้วยกัน เป็นประวัติศาสตร์จีน การตั้งเมืองฉงชิ่ง อารยธรรมจีนต่างๆ ที่แน่ๆ เมืองนี้เกี่ยวกับพริก ถึงขนาดจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ด้วย นอกจากนี้ยังมีเครื่องทองเหลือง เครื่องเคลือบ ภาพพิมพ์ เงิน บุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์ต่างๆ ในเมืองฉงชิ่งจัดแสดง
พิพิธภัณฑ์ เข้าฟรี :D 
แรงงานที่ฉุดลากเรือ
พริกและเครื่องเทศ
แม่พิมพ์
เตาเผาเครื่องปั้นเครื่องเคลือบ
 ในวันแรกพอมีเวลาเลยเดินเล่นริมแม่น้ำเจียหลิงบรรยากาศร่มรื่นดี ที่นี้มีทางรถไฟฟ้าเลาะริมแม่น้ำ แต่ทางขึ้นไม่ได้อยู่ริมแม่น้ำเลย แต้เดินขึ้นมาอีกหน่อยจึงจะเจอทางขึ้น มีรถเมล์อยู่หลายสายให้บริการ แต่ก็ขึ้นไม่ถูกเลยเดินชมบรรยากาศริมแม่น้ำ และบ้านเมืองเขา เดินไปสักพักก็เจอ Hong Ya Dong เป็นห้างบวกโรงแรมบวกหมู่บ้านโบราณจำลอง มีของฝากของที่ระลึกมากมายตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจียหลิงนั้นเอง บรรยากาศก็ออกแนวหมู่บ้านจีนโบราณ มีขนม อาหาร ของฝากขายตามร้านต่างๆ ที่สำคัญมีร้านขนมเกลียวเยอะมาก
ทางเดินมีต้นไม้เป็นแนวตลอดทางเดิน
มีทางรถไฟฟ้าและทางเดินเลาะริมน้ำ
Hong Ya Dong  เป็นห้างบวกกับหมู่บ้านจีนจำลองตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจียหลิง
บรรยาการ Hong Ya Dong ยามค่ำคืน
บรรยากาศริมแม่น้ำเจียหลิง ถ่ายจาก Hong Ya Dong 
บรรยากาศริมแม่น้ำเจียหลิงยามคำคืน
อาหารที่เมืองนี้ก็คงเหมือนอาหารจีนทั่วไปแต่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนอาหารจีนอื่นตรงที่ บางอย่างมีความเผ็ดร้อนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอาหารหลายอย่างจะมีการใส่เครื่องเทศที่ทำให้ชา และพริกที่ทำให้ร้อน อาหารมื้อต่อมาจึงลองสั่งอาหารท้องถิ่นอย่างหมูสามชั้นกับผักดองแล้วก็อะไรสักอย่าง ไม่รู้จักเหมือนกันเนื่องจากชี้เอาจากรูป แต่น่าจะเป็นหัวใจไก่ผัดเผ็ดหม้อไฟ มีโตเหมี่ยว ต้นหอม แตงกวา แต่ที่แน่ๆคือใส่พริกที่ทั้งร้อนทั้งชามาด้วย ผมเป็นคนใต้จึงไม่รู้สึกว่าเผ็ดมากไปหรือเปล่าเพราะกินจนชินแล้วแต่ได้เครื่องเทศที่ทำให้ชานี่ซิมันแปลกมากเลย ถ้าสกัดเอามาทำยาชาได้คงดี :D อาหารที่โรงแรมก็จะเป็นอาหารที่พบเจอได้ตามโรงแรมทั่วไปแต่จะมีอาหารจีนอย่างหมี่ผัด ผัดผัก ซาลาเปา ข้าวต้ม และเครื่องข้าวต้มให้ได้รับประทานด้วย หากเป็นตอนเที่ยงก็จะมีบะหมี่น้ำและเกี่ยวน้ำให้กิน อร่อยดี :D มื้อสุดท้ายก่อนกลับเข้าร้านที่ไม่มีรูป และหิวมากเลยเปิดคู่มือภาษาจีนบอกเอาว่าเอาหมูและข้าวเขาเลยจัดข้าวผัดหมูมาให้ รสชาติก็อร่อยดี และถูกกว่า KFC เยอะมาก ประมาณแปดหยวนกว่าๆ โรงแรมที่พักอยู่ใกล้ตลาดจึงมีโอกาศได้ชิมเป็ดย่างขายกันตามตู้ทั่วไป ครึ่งตัว 15 หยวน (ประมาณ 75 บาท) คิดไปคิดมาถูกเหมือนกัน แต่รสชาติออกเค็มและมัน กินกับข้าวคงอร่อย
หมูสามชั้นกับผักกาดดอง
หัวใจไก่ โตเหมี่ยว ต้นหอม แตกกว่า และพริกๆ รสชาติออกทั้งชาและร้อน แต่ก็อร่อยดี
สั่งข้าวผัดหมู จานนี้ไม่เผ็ดไม่ร้อนเซิร์ฟพร้อมน้ำแกง
อาหารโรงแรมตอนเช้าจะเป็นเครื่องข้าวต้ม ซาลาเปา แล้วก็มาตรฐานอาหารโรงแรมทั่วไป แต่จะมีผัดผักอยู่หลายอย่าง แต่ก็มันๆ ทั้งนั้น :(
เป็ดเมืองจีน แห้งและค่อนข้างเค็ม
มาถึงงานประชุมที่จัดขึ้นก็ดีหน่อยตรงที่มีคนพูดภาษาอังกฤษได้มาช่วยตอบคำถามต่างๆ ของชาวต่างประเทศ  แต่บางอย่างก็ไม่ค่อยเอื้อเท่าไหร่เช่น คูปองอาหาร เป็นภาษาจีนทั้งหมดก็ยากที่จะอ่านอยู่เหมือนกัน ส่วนของที่ระลึกสวยได้ทำออกมาป็นชุดเครื่องลายครามทีเดียว สำหรับการนำเสนอบทความเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นคนจีนภาษาอังกฤษของเขาสำเนียงฟังยากอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะจีนแผ่นดินใหญ่ ฟังยากมากเลยทีเดียว ถามคำถามไปหนึ่งคำถามสำหรับคนจีน เกี่ยงกับสเตอริโอวิชัน เนื่องจากเป็นเรื่องที่เคยทำตอน ป.โท เขาน่าจะไม่เข้าใจคำถามหรือไม่ก็ฟังภาษาอังกฤษเราไม่รู้เรื่อง อีกหนึ่งคำถามสำหรับชาวญี่ปุ่นซึ่งผลก็ออกมาเหมือนกันตอนแรกคิดว่าภาษาอังกฤษของเราแย่มาก แต่พอดีอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นและเป็นประธานเซสชัน พยักหน้าตอบรับแสดงว่าเขาเข้าใจคำถามเราก็ใจชื่นขึ้นมาหน่อย ส่วนคำถามสุดท้ายเป็นของชาวจีนเกี่ยวกับ RTMP ถามว่าจะมีผลกระทบหรือเปล่าเมื่อใช้ IPv6 ดูเหมือนเขาจะงงๆๆ :P ว่า IPv6 คืออะไร T__T แต่ก็ตอบออกมาว่าน่าจะไม่มีผลกระทบ \o/ อาหารว่างของที่นี่ส่วนใหญ่เป็ผลไม้เช่นองุ่น และมีมะเขือเทศลูกเล็กขึ้นโต๊ะด้วย เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา
คูปองอาหารเย็น
คูปองอาหารเที่ยง
ของที่ระลึกจัดเต็มจริงๆ
ดินสอที่ตั้งให้ที่ประชุมแปลกดี
บรรยากาศห้องประชุม
วันสุดท้ายก่อนกลับได้มีโอกาสไปเที่ยว ฉือชี่โข่ว เป็นหมู่บ้านเมืองโบราณที่เขาอนุรักษ์เอาไว้ ได้บรรยากาศเมืองแบบโบราณ มีของกินของฝากให้เลือกซื้อเลือกชิมมากมาย ของแปลกก็คือผลไม้เสียบไม้ชุบน้ำตาล บางเจ้าเอามาเสียบกับเสาฟางขายด้วย แบบในหนังจีน \o/ นอกจากนี้มีโอกาสได้เข้าวัดจีนแห่งหนึ่งใน ฉือชี่โข่ว ไม่รู้ชื่อวัดอะไรค่าเข้า 5 หยวน ได้ธูปมาสามดอกสำหรับเซ่นไหว้พระพุทธเจ้าและเทพเจ้าต่างๆ มีพระพุทธรูปหินอ่อนแต่ถ่ายรูปมาไม่ได้ เขาไม่ให้ถ่าย
ประตูทางเข้า
ผลไม้เคลือบน้ำตาล
น่าจะเป็นรากบัว
น้ำตาลทำเป็นรูปสัตว์ต่างๆ
บรรยากาศร้านค้า
ท่าเรือปลายทาง
มันเฝ้าทางเข้าวัด
พระศรีอริยเมตตรัยโพธิสัตว์
บริเวณวัด
มีต้นไม้ผูกผ้าแดงเต็มไปหมด
ขลุ่ยผิวของจีน
อีกแบบนึ่ง
และถ้ายสุดเป็นปลายแหลมของเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจียหลิงและแม่น้ำแยงซีมาบรรจบกัน บริเวณนี้มีท่าเรือล่องเรือสำราญและล่องเรือชมเมืองอยู่ด้วย เดินไปอีกไกลหน่อยก็เป็นอนุสาวรีย์ปลดแอกญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นหอนาฬิกา ปัจจุบันบริเวณรอบๆ เป็นศูนย์การค้าทันสมัยต่างๆ หนุ่มสาวเดินกันขวักไขว่ทีเดียว
ฝั่งแม่น้ำเจียหลิง
แม่น้ำแยงซี
จุดที่สองแม่น้ำมาบรรจบกัน
ท่าเรือ
ด้านบนเป็นล่านกว้างสำหรับชมแม่น้ำ แต่บางคนเขาเล่นว่าวกัน
หอนาฬิกา เป็นอนุสาวรีย์ปลดแอกจากญี่ปุ่น
บรรยากาศร้านค้าบริเวณนั้น
คนสูงอายุเมืองนี้ชอบออกมาเดินเล่นนอกบ้านเลี้ยงหลานเหมือนเมืองไทย :D แต่เขาชอบขากเสลดแล้วบ้วนออกมา จะนั่งตามขั้นบันไดก็ระวังหน่อย :D อีกอย่างการขับรถเมืองนี้มีการบีบแตรกันทั้งวันทั้งคืน ตื่นมาตอนตีสามยังได้ยินเสียงแตรเลย :P ทั้งบีบแตรไล่รถที่จอดขวางทาง บีบแตรไล่คนข้ามถนนที่ไม่ใช้ทางม้าลาย (แต่ทางม้าลายมีน้อยมาก คนชอบเดินบนถนน) อะไรนิดอะไรหน่อยก็บีบแตร เสียงดังวุ่นวายทีเดียว คนที่นี่ชอบสูบบุหรี่มาก เดินไปใหนก็เห็นคนสูบบุหรี่และมีบุหรี่ขายกันเต็มทุกตรอกซอกซอย อีกอย่างหนึ่งคือไพ่นกกระจอก ตั้งโต๊ะเล่นกันพบเห็นได้ง่าย (สังเกตว่ามีคนมุงเยอะ) โดยเฉพาะบริเวณที่พักหรือตลาด ตอนบ่ายๆ เย็นๆ

จบการท่องเที่ยวเมืองฉงชิ่งและประชุมวิชาการ 5 วัน 4 คืน ไม่ค่อยได้ไปใหนมากก็เที่ยวบริเวณเมืองไม่ได้ออกไปข้างนอกเมืองเลย การคมนาคมสะดวกดี มีทั้งรถเมล์และรถไฟฟ้า แต่ต้องรู้ภาษาจีนนะ จะเดินทางสะดวกมาก :D หากมีคนรู้ภาษาจีนไปด้วยน่าจะเที่ยวได้สนุกกว่านี้มาก ผู้คนพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก แม้ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ก็ตาม ส่วนใหญ่ใช้ภาษาจีนแถมสำเนียงจีนยังมีเป็นของตัวเองอีกต่างหาก อาหารอร่อยดีแต่ออกเค็มกับชามากไปหน่อย โดยรวมแล้วถือว่าสนุกมากทีเดียว \o/

ดูรูปเพิ่มเติมได้ที่ Chongqing 15-19 October 2012 บน Google Plus นะครับ

สุดท้ายนี้ขอบคุณ
[SR] Fabulous Chongqing : รวมมิตรข้อมูลเตรียมตัว บิน-กิน-เที่ยว ง่ายๆ กับแอร์เอเชียเส้นทางบินใหม่ กรุงเทพ-ฉงชิ่ง ของคุณหมอยุ่ง ที่ให้รายละเอียดการเดินทาง และแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
แนะนำสถานที่เที่ยวในฉงชิ่ง ของคนไทยที่ไปเรียนอยู่ฉงชิ่ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวเอ๋ยตัวผม

กลอนนี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเขียนขึ้นมาในห้องเรียนวิชาสัมนา 1 เพราะอาจารย์อยากให้แนะนำตัวเองเป็นกลอน ไม่รู้จะแต่งว่าไงเลยแต่งออกมาเป็นดอกสร้อย เห็นว่าพอใช้ได้เลยเอามาลงไว้เป็นอนุสร ๏ ตัวเอ๋ยตัวผม นิยมในพระพุทธศาสนา ตั้งจิตตั้งใจตั้งหน้า ใฝ่หาความรู้สู่ตน ตั้งใจศึกษาให้เชี่ยวชาญ ชำนาญในศาสตร์ที่ฝึกฝน ฝึกจิตฝึกสันดานให้เป็นคน เป็นชนในชาติที่ดีเอย ๚ะ๛

บันทึกการจัดงานศพ: พิธีฌาปนกิจศพ

ตรงส่วนนี้คงจะเขียนเกี่ยวกับพิธียกศพออกจากบ้าน และเกร็ดต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ เนื่องจากที่จัดงานจะไม่นิยมไว้ศพที่วัด จะไว้ศพที่บ้าน และถ้าเป็นไปได้จะไว้ศพในบ้านเสียด้วยซ่ำ เมื่อถึงวันฌาปนกิจศพ หรือเผาศพ ก็จะมีการเซ่นไหว้ครั้งใหญ่ก่อนเคลื่อนย้ายศพไปวัดเพื่อฌาปนกิจ เครื่องเซ่นไว้จะประกอบไปด้วย ข้าว 5 ถ้วย กับข้าว 5 อย่าง หัวหมู ไก่ต้ม ไข่ต้ม หมูสามชั้นต้ม หมี่เหลืองผัด กุ้ง หอย ปู ปลา ผลไม้ 5 อย่าง ขนมขึ้น เมื่อมีการเซ่นไหว้ทุกครั้งจะต้องมี สัปรด น้ำชา 3 จอก เหล้าขาว 5 จอก(หลานๆ บอกว่าเจ็คไม่กินเหล้าขาว แต่มีคนบอกว่าเป็นการไหว้ตามประเพณี ^^ ) ซึ่งแต่ละอย่างมีความหมาย แต่ผมจำไม่ได้ต้องหาอีกครั้งนึง ตัวอย่างเครื่องเซ่นไหว้ เมื่อถึงพิธีเซ่นไหว้ จะมีการเซ่นไหว้โดยแบ่งออกเป็นคณะ แต่เพื่อความสะดวกและรวบรัดจึงมีการไหว้เพียงไม่กี่คณะ ซึ่งก็เหมือนเดิมคือผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าจะไม่รวมการเซ่นไหว้ครั้งนี้ คณะแรกจะเป็นผู้ไกล้ชิดผู้ตายมากที่สุดเริ่มตั้งแต่ลูกและภรรยา หลังจากนั้นก็จะเป็นน้องๆ แล้วก็หลานๆ และก็มิตรรักและผู้คนที่นับถือผู้ตาย หากเป็นเมื่อสมัยก่อนนั้น ต้องแยกออกเป็นเขย เป็นสะไภ้ ไหว้กันหลายยกหล

ด้วยระลึกถึงคุณย่า บันทึกจากความทรงจำ

บันทึกนี้เขียนขึ้นเพื่อบันทึกความทรงจำของผมที่มีต่อคุณย่าที่ล่วงลับไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนคืน คุณย่าเปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ร้อยครอบครัวใหญ่ของเราเอาไว้ไม่ให้แตกแยก หลังจากที่เสียคุณปู่ไปเมื่อ 23 ปีก่อน เนื่องจากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต มีชาวจีนอาศัยอยู่มาก แต่มักจะเป็นชาวจีนที่อพยพมาไทยนานแล้ว จากการการสังเกตของผม ชาวจีนแถบนี้โดยมากน่าจะเป็นชาว เปอรานากัน หรือชาวจีนที่อพยพมาจากจีนแล้วตั้งถิ่นฐานอยู่ในแหลมลายูหรืออินโดนีเซีย แล้วหลังจากนั้นจึงอพยพมาอาศัยต่อที่ประเทศไทย จากการบอกเล่าของคุณแม่ ก๋งเคยเล่าให้ฟังว่าตอนยังเด็กเคยแจวเรือจ้างอยู่ที่ปีนัง คุณย่าเคยเล่าว่าเป็นชาวฮกเกี้ยน อีกทั้วจากรูปวาดคุณย่าทวดที่มีการเกล้ามวยผม สวมเสื้อคอลึก ส่วนทางบ้านมีการใช้คำเรียกจีนผสมไทยถิ่นใต้อยู่มาก ผู้หญิงทุกคนนิยมสวมผ้าปาเต๊ะ เสื้อลูกไม้ (เสื้อฉลุลายดอกไม้) อาหารการกินเป็นแบบชาวไทยถิ่นใต้ทุกประการ (กินน้ำพริก แกงส้มเก่งกันทุกคน ยกเว้นก๋ง :D) อีกทั้งก๋งเกิดที่ดินแดนแถบนี้ไม่ได้เดินทางมาจากเมืองจีน (บางทีเรียก เตี่ยต่อเตี่ย คือ ทวดมาจากจีน ส่วนสถานที่เกิดไม่แน่ใจว่าเป็นปีนังหรือไทย)