ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

คบเด็กสร้างบ้าน: วัยวุฒิ

ผมพบน้องนักศึกษาปี 1 คนหนึ่งที่บริเวณภาควิชา ได้พูดคุยกับเขาพักใหญ่รู้สึกอยากจะหยิบยื่นโอกาสสำหรับการหาประสบการณ์ในการพัฒนาโปรแกรมให้แก่เขา เลยชักชวนให้มาทำงานต่อจาก Thesis ระดับปริญญาโทของผม ซึ่งจะว่ายากก็ยากจะว่าง่ายก็ง่าย เป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบตรวจสอบวัตถุกีดขวางที่ช่วยให้ผู้พิการทางสายตาสามารถเดินทางได้โดยการใช้ข้อมูลจากการประมวลผลภาพสเตอริโอ ซึ่งส่วนหลักที่ยากที่สุดผมได้ทำไปแล้วเหลือแต่ส่วนของอินเตอร์เฟสที่ใช้ติดต่อกับผู้พิการทางสายตาเท่านั้น ซึ่งพี่เอกได้พัฒนาในส่วนของระบบเสียงสามมิติอยู่แล้ว งานนี้ผมคิดว่ามันน่าจะทำระบบเสียงที่ง่ายๆ มาใช้ก่อนได้เพื่อให้เห็นภาพว่าระบบนี้ใช้งานอย่างไร จึงได้นำเรื่องนี้ไปเปรยกับอาจารย์ที่ปรึกษาว่าน่าจะทำ อาจารย์เห็นด้วยผมเลยนำเรื่องนี้ไปบอกน้องเขา แล้วให้วิทยานิพนธ์ของผมให้น้องเขาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ในการเขียนโครงร่างเพื่อที่จะส่งในงาน NSC ได้ ด้วยคิดว่าน่าจะได้ประโยชน์ทั้งสองทางคือ หนึ่งผมจะได้รู้ว่าระบบที่ผมทำมามันใช้ได้จริง เนื่องจากตอนนี้ระบบที่ผมทำขึ้นนั้นยังไม่มีอินเตอร์เฟสที่จะไปนำเสนอแก่ผู้พิการจึงทดสอบระบบไม่ได้ว่ามันใช้ได้จริงหรือไม่ และน้องเขาน่าจะได้ประสบการณ์การแข่งขันระดับชาติ และพัฒนาฝีมือการเขียนโปรแกรมไปด้วยในตัว
ผมไม่ได้ปล่อยให้เขาทำโดยที่ไม่ได้ให้คำแนะนำ แต่คำแนะนำแรกของผมคือต้องอ่านหน้าใหนบ้างจึงจะสามารถทำงานต่อจากผมได้ ผมให้เขาอ่านหน้าที่เป็น concept คร่าวๆ ของผม เท่านั้นยังไม่ลงไปถึงการโปรแกรมเลย ผมต้องติดต่อน้องเขาหลายครั้งกว่าจะได้เจอกันในครั้งต่อไป เขามาเจอผมประมาณ 2 ครั้งหลังจากนั้น แต่ทุกครั้งผมต้องเป็นฝ่ายโทรตาม ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลนัก ครั้งสุดท้ายที่เจอตัวเขาผมบอกเขาไปว่าเราทำงานกันแบบผู้ใหญ่นะ พี่จะไม่ตามงานน้องแต่น้องต้องรับผิดชอบงานเหล่านี้ด้วยตัวเอง ผมไม่ได้คาดคั้นว่าต้องเสร้จ แต่น่าจะเรียบร้อยก่อนกำหนด NSC หรือว่าจะไม่ส่ง NSC ก็ได้ถ้าไม่ทัน ผมถามเขาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่างานที่จะทำนี้มันจะไม่กระทบกับชีวิตการเรียนมากนัก เนื่องจากน้องก็เป็นนักศึกษาปี 1 ยังต้องปรับตัวอีกมาก เขาให้คำตอบรับผมด้วยดี แล้วก็ล่วงเลยเข้าสู่การสอบ
หลังจากช่วงสอบเสร็จผมก็ประมาณเวลาดู ทั้งปฏิทินของอาจารย์และเวลาในการทำงานแล้ว ผมจึงคิดว่าน่าจะโทรไปถามเขาอีกครั้งว่าเป็นอย่างไรบ้าง ได้ผลมาว่าหลังจากสอบเสร็จ นอนไปหนึ่งวัน เมาอีกสองวัน !!_ _ จึงยังไม่ทำอะไร ด้วยเห็นท่าว่าจะไม่ดีผมจึงถามย้ำอีกครั้งว่าแล้วยังคิดว่าจะทำต่ออีกหรือไม่ เขาให้คำตอบผมว่าไม่แล้ว เพราะเรียนก็ไม่ไหวแล้ว เป็นอันว่ากระจ่างแล้วว่าเขาไม่พร้อมที่จะทำงาน ที่เขียน blog นี้ขึ้นไม่ได้อยากประจานน้องเขาแต่อย่างใด เพราะผมก็เข้าใจว่าชีวิตเด็กปี 1 ต้องปรับตัวค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องระบบการเรียนในมหาวิทยาลัย ทั้งเรื่องเพื่อน ทั้งเรื่องกิจกรรมต่างๆ แต่มันก็เป็นข้อเตือนใจให้ผมอย่างดีกว่า ก่อนที่จะยื่นโอกาสให้ใครต้องพิจารณาจากความเหมาะสมหลายๆ ด้านก่อนทั้งคุณวุฒิ และวัยวุฒิ มิฉะนั้นจะตรงกับสำนวนที่ว่า "คบเด็กสร้างบ้าน" นั้นเอง แต่ผมยังเชื่อในพลังของเด็กอยู่ว่าเขามีความสามารถที่จะทำตามสิ่งที่เขาต้องการได้เพียงแต่มีผู้ใหญ่ให้คำแนะนำที่เหมาะสม และชี้ให้เขาเหตุว่าอะไรที่พึ่งทำได้ และอะไรที่ไม่พึงทำ สำหรับงานนี้ผมต้องหาคนใหม่มาทำเพราะมิฉะนั้นแล้วมันอาจจะจบไปพร้อมกับผมก็ได้ แต่ก่อนคิดว่าแค่มีใจอยากจะทำก็เพียงพอ ความรู้มาฝึกกันได้ แต่ตอนนี้ผมต้องมองถึงวัยวุฒิด้วยแล้วว่าเหมาะจะให้เขาทำหรือเปล่าด้วย มิฉะนั้นอาจเกิดเหตุการณ์ดังเช่นวันนี้
ถึงแม้ว่าวัยวุฒิจะไม่สำคัญแต่น่าจะเป็นเครื่องชี้วัดให้เห็นว่าความคิดความอ่านเขานั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบางงานเขาจึงจำกัดอายุไว้ว่าต้องไม่ต่ำกว่า เพราะมันเป็นเครื่องบ่งชี้วิจารณญาณได้นั้นเอง ถึงแม้ว่าจะไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่มีคุณวุฒิเกินวัยวุฒิก็ตาม ซึ่งหากปาก้อนหินเขาไปในร้อยคนก็คงจะมีเพียงคนเดียวที่โดนก้อนหินลูกนั้นนั้นเอง

ความคิดเห็น

  1. เริ่มคิดเหมือนอาจารย์เข้าไปทุกทีแระ อิอิ

    ตอบลบ
  2. โหพี่กลับมาเขียน blog ด่วน อยากดูตู้ปลา

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวเอ๋ยตัวผม

กลอนนี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเขียนขึ้นมาในห้องเรียนวิชาสัมนา 1 เพราะอาจารย์อยากให้แนะนำตัวเองเป็นกลอน ไม่รู้จะแต่งว่าไงเลยแต่งออกมาเป็นดอกสร้อย เห็นว่าพอใช้ได้เลยเอามาลงไว้เป็นอนุสร ๏ ตัวเอ๋ยตัวผม นิยมในพระพุทธศาสนา ตั้งจิตตั้งใจตั้งหน้า ใฝ่หาความรู้สู่ตน ตั้งใจศึกษาให้เชี่ยวชาญ ชำนาญในศาสตร์ที่ฝึกฝน ฝึกจิตฝึกสันดานให้เป็นคน เป็นชนในชาติที่ดีเอย ๚ะ๛

บันทึกการจัดงานศพ: พิธีฌาปนกิจศพ

ตรงส่วนนี้คงจะเขียนเกี่ยวกับพิธียกศพออกจากบ้าน และเกร็ดต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ เนื่องจากที่จัดงานจะไม่นิยมไว้ศพที่วัด จะไว้ศพที่บ้าน และถ้าเป็นไปได้จะไว้ศพในบ้านเสียด้วยซ่ำ เมื่อถึงวันฌาปนกิจศพ หรือเผาศพ ก็จะมีการเซ่นไหว้ครั้งใหญ่ก่อนเคลื่อนย้ายศพไปวัดเพื่อฌาปนกิจ เครื่องเซ่นไว้จะประกอบไปด้วย ข้าว 5 ถ้วย กับข้าว 5 อย่าง หัวหมู ไก่ต้ม ไข่ต้ม หมูสามชั้นต้ม หมี่เหลืองผัด กุ้ง หอย ปู ปลา ผลไม้ 5 อย่าง ขนมขึ้น เมื่อมีการเซ่นไหว้ทุกครั้งจะต้องมี สัปรด น้ำชา 3 จอก เหล้าขาว 5 จอก(หลานๆ บอกว่าเจ็คไม่กินเหล้าขาว แต่มีคนบอกว่าเป็นการไหว้ตามประเพณี ^^ ) ซึ่งแต่ละอย่างมีความหมาย แต่ผมจำไม่ได้ต้องหาอีกครั้งนึง ตัวอย่างเครื่องเซ่นไหว้ เมื่อถึงพิธีเซ่นไหว้ จะมีการเซ่นไหว้โดยแบ่งออกเป็นคณะ แต่เพื่อความสะดวกและรวบรัดจึงมีการไหว้เพียงไม่กี่คณะ ซึ่งก็เหมือนเดิมคือผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าจะไม่รวมการเซ่นไหว้ครั้งนี้ คณะแรกจะเป็นผู้ไกล้ชิดผู้ตายมากที่สุดเริ่มตั้งแต่ลูกและภรรยา หลังจากนั้นก็จะเป็นน้องๆ แล้วก็หลานๆ และก็มิตรรักและผู้คนที่นับถือผู้ตาย หากเป็นเมื่อสมัยก่อนนั้น ต้องแยกออกเป็นเขย เป็นสะไภ้ ไหว้กันหลายยกหล

ด้วยระลึกถึงคุณย่า บันทึกจากความทรงจำ

บันทึกนี้เขียนขึ้นเพื่อบันทึกความทรงจำของผมที่มีต่อคุณย่าที่ล่วงลับไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนคืน คุณย่าเปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ร้อยครอบครัวใหญ่ของเราเอาไว้ไม่ให้แตกแยก หลังจากที่เสียคุณปู่ไปเมื่อ 23 ปีก่อน เนื่องจากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต มีชาวจีนอาศัยอยู่มาก แต่มักจะเป็นชาวจีนที่อพยพมาไทยนานแล้ว จากการการสังเกตของผม ชาวจีนแถบนี้โดยมากน่าจะเป็นชาว เปอรานากัน หรือชาวจีนที่อพยพมาจากจีนแล้วตั้งถิ่นฐานอยู่ในแหลมลายูหรืออินโดนีเซีย แล้วหลังจากนั้นจึงอพยพมาอาศัยต่อที่ประเทศไทย จากการบอกเล่าของคุณแม่ ก๋งเคยเล่าให้ฟังว่าตอนยังเด็กเคยแจวเรือจ้างอยู่ที่ปีนัง คุณย่าเคยเล่าว่าเป็นชาวฮกเกี้ยน อีกทั้วจากรูปวาดคุณย่าทวดที่มีการเกล้ามวยผม สวมเสื้อคอลึก ส่วนทางบ้านมีการใช้คำเรียกจีนผสมไทยถิ่นใต้อยู่มาก ผู้หญิงทุกคนนิยมสวมผ้าปาเต๊ะ เสื้อลูกไม้ (เสื้อฉลุลายดอกไม้) อาหารการกินเป็นแบบชาวไทยถิ่นใต้ทุกประการ (กินน้ำพริก แกงส้มเก่งกันทุกคน ยกเว้นก๋ง :D) อีกทั้งก๋งเกิดที่ดินแดนแถบนี้ไม่ได้เดินทางมาจากเมืองจีน (บางทีเรียก เตี่ยต่อเตี่ย คือ ทวดมาจากจีน ส่วนสถานที่เกิดไม่แน่ใจว่าเป็นปีนังหรือไทย)