ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การถ่ายภาพ เลนส์จำเป็นจริงหรือ

จริงอยู่ที่ภาพถ่ายสีจะสวยหรือไม่ขึ้นอยู่กับเลนส์เป็นส่วนประกอบสำคัญ แต่การมีเลนส์หลายประเภทจำเป็นสำหรับการถ่ายภาพจริงหรือ เหตุที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะมีคนมาถามผมบ่อยว่าจะซื้อกล้องใหม่จะซื้อเลนส์อะไรดี ตอนนี้มีเลนส์คิดส์อยู่แล้วจะซื้อเลนส์อะไรต่อดี เสมอๆ หรือแม้กระทั้งเห็นผมถือกล้องโปรอยู่แล้วมาถามผมว่ามีเลนส์ช่วงใหนบ้าง เป็นต้น หากผมตอบว่าไม่มีหรอกมีแต่เลนส์คิดส์ หลายๆ คน จะลดความสนใจในตัวผมไปทันทีโดยที่ไม่สนใจเลยว่าฝีมือการถ่ายภาพผมเป็นอย่างไร ไม่เคยสนใจเลยว่าผมชอบถ่าายภาพแนวใหน ไม่เคยสนใจเลยว่าผมรู้จักเทคนิคอะไรบ้าง เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่าเขาวัดการถ่ายภาพกันที่เลนส์ หรือว่า รุ่นของ กล้องโปรแล้วหรือนี้
ผมเริ่มถ่ายภาพด้วยกล้อง SLR ตอน ม.3 ที่บ้านมีกล้อง SLR อยู่ตัวนึงแต่เลนส์ขึ้นรามากแล้วจึงไม่ได้ใช้ ถ่ายภาพจริงๆ จัง ตอน ม.5 เนื่องจากผมเข้าชมรมโสตทัศนศึกษา และอยู่ประจำห้องโสตทัศนูปกรณ์ในขณะนั้น กล้องตัวแรกที่ผมถ่ายเอาจริงๆ คือ Nikon FM 2, Cannon EOS 1000 แล้วได้รับความไว้วางใจจากอาจารย์ให้จับ Cannon A1 ซึ่งผมภูมิใจมาก และร้างกล้องเหล่านี้มานานเนื่องจากบ ม.6 จนกระทั้งมีโอกาสได้ซื้อ Nikon D40 เป็นกล้อง DSLR ตัวแรกที่ซื้อด้วยเงินของตัวเอง จากประสบการณ์ที่ผมถ่ายภาพมา ไม่ว่าจะเป็น FM2 A1 หรือ D40 ผมถือว่า เลนส์ที่ติดมากับกล้องหรือเลนส์มาตรฐานที่เราใช้กันอยู่นี้ เพียงพอสำหรับการถ่ายภาพทั่วไปโดยไม่ต้องพึ่งพาเลนส์อื่นอีก ดังนั้นหากมาปรึกษาเรื่องซื้อกล้อมผมมักจะแนะนำให้ซื้อเพียงเลนส์คิดส์เท่านั้น แต่เขาเหล่านั้นมักมีข้ออ้างมาเถียงผมเสมอๆ ว่าน่าจะซื้อเลนส์อีกช่วงเพราะ ใครๆ ก็ซื้อกัน คำถามที่ผมมักถามกลับไปเสมอว่าเอาไปถ่ายอะไร คำตอยที่ได้มักจะเอาไว้เผื่อใช้ หากฟังคำตอบเหล่านี้แล้ว ผมมักจะเศร้าใจเสมอว่าเดี๋ยวนี้คนเราถ่ายภาพ จะให้ภาพสวยต้องพึ่งเทคโนโลยีเท่านั้นหรือ และผมแน่ใจมากขึ้นเมื่อวันนี้ผมได้คุยกะเพื่อว่าที่เขาใช้เลนส์คิดส์ขณะนี้เพราะว่ามี VR(Nikon) เดี๋ยวจะซื้ออีกตัว ผมนึกย้อนไปสมัยที่ผมเป็นนักเรียนหัดถ่ายภาพใหม่ๆ นั้นอาจารย์มักสอนผมเสมอว่าการถ่ายภาพเป็นศิลปะ การถ่ายภาพต้องคำนึงถึงความสมดุลสัดส่วน แนวสายตา เส้นขอบฟ้า และอะไรต่อมิอะไร เพื่อให้ภาพที่ออกมาสมบูรณ์ที่สุด ที่สำคัญคือแสงและเงา แต่ภาพที่ดีที่สุดคือภาพที่ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกต่อคนหมู่มาก ด้วยคำสอนอันสักสิทธิ์เหล่านี้ประกอบกับตอนนั้นผมหัดถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม ทำให้ต้องประหยัดภาพและสามารถเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ได้ภายในฟิล์มหนึ่งม้วน ทำให้ผมต้องประณีตเป็นพิเศษในแต่ละภาพ และต้องทำให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสสำคัญๆ ฟิล์มหนึ่งม้วนอาจจะได้ภาพแค่ไม่กี่ภาพเท่านั้นที่โดนใจหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ สรุปแล้วเราให้ความสำคัญกับอารมณ์ของภาพมากกว่ากล้องดีๆ หรือ เลนส์ดีสักตัว แต่ผมไม่ปฏิเสธว่าการมีกล้องหรือเลนส์ดีๆ ไม่สำคัญนะครับ
ปัจจุบันนี้มีผู้นิยมใช้งานกล้อง SLR มากขึ้นเนื่องจากราคาที่ถูกลงแล้วด้วยความเป็นดิจิตอล จึงไม่ต้องเปลืองค่าล้าง อัด ขยาย อย่างแต่ก่อนมากนัก ทำให้หลายๆ คนสนใจซื้ออุปกรณ์ประกอบอย่างอื่นแทน และมักจะพวงมากับการทำตัวเป็นสาวกแนวการถ่ายภาพมากขึ้น มีการสนับสนุนว่าที่ซื้อเลนส์แบบนี้เพราะว่าชอบถ่ายภาพแนวนี้แต่โดยรวมแล้วเมื่อท่านซื้อกล้อง ภาพที่ท่านมักจะถ่ายเสมออย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตคือ งานบวช งานแต่ง Party หรืองานทั่วไป หาใช้แนวภาพที่ท่านทำตัวเป็นสาวกไม่ สุดท้ายต้องมาบ่นว่าเสียดายที่ไม่มีแฟลชนอก ใช้ Pop up แล้วไม่สะใจ เพราะว่าเอาเงินไปซื้อเลนส์หมด เรื่องเหล่านี้ผมได้ยินจนเบื่อแล้วก็ว่าได้
สำหรับผมแล้วผมถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก ไม่ต้องการเป็นมืออาชีพ เลนส์หลายประเภทจึงไม่จำเป็นสำหรับผู้ใช้งานแบบผม แต่สิ่งที่ผมว่าจำเป็นกลับเป็นขาตั้งกล้อง เพราะว่ามันสามารถใช้ได้ในหลายๆ โอกาส แฟลช เนื่องจากไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนหากต้องการเปิดรายละเอียดของตัวแบบมักจะใช้เสมอ ฟิลเตอร์ จำพวก PL Soft มีประโยชน์มากกว่า อีกทั้งเลนส์หากดูแลไม่เป็นจะเจอปัญหาใหญ่ปัญหานึงเสมอนั้นก็คือ รา ซึ่งหากเอาเข้าจริงๆ อาจต้องสร้างที่เก็บดีๆ ซึ่งโดยรวมแล้วอาจจะแพงกว่าราคาเลนส์ที่ซื้อเสียอีก
โดยสรุปแล้วผมอยากให้เรารู้ตัวเองเสียก่อนว่าเราต้องการถ่ายภาพเพื่ออะไรกันแน่ หากเล่นๆ เอาแนวผมก็ ok แล้วจะได้ไม่ยุ่งยาก และสิ้นเปลือง หากมีเงินเหลือเยอะก็ไม่ว่ากันครับ หากถ่ายภาพมืออาชีพก็ไม่เป็นไรสนับสนุนให้ซื้อ พึงคิดก่อนเสียเงินเสมอครับ และอย่าพึ่งปลงใจเชื่อเพียงเพราะเขาบอกต่อๆ กันมานะครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวเอ๋ยตัวผม

กลอนนี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเขียนขึ้นมาในห้องเรียนวิชาสัมนา 1 เพราะอาจารย์อยากให้แนะนำตัวเองเป็นกลอน ไม่รู้จะแต่งว่าไงเลยแต่งออกมาเป็นดอกสร้อย เห็นว่าพอใช้ได้เลยเอามาลงไว้เป็นอนุสร ๏ ตัวเอ๋ยตัวผม นิยมในพระพุทธศาสนา ตั้งจิตตั้งใจตั้งหน้า ใฝ่หาความรู้สู่ตน ตั้งใจศึกษาให้เชี่ยวชาญ ชำนาญในศาสตร์ที่ฝึกฝน ฝึกจิตฝึกสันดานให้เป็นคน เป็นชนในชาติที่ดีเอย ๚ะ๛

บันทึกการจัดงานศพ: พิธีฌาปนกิจศพ

ตรงส่วนนี้คงจะเขียนเกี่ยวกับพิธียกศพออกจากบ้าน และเกร็ดต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ เนื่องจากที่จัดงานจะไม่นิยมไว้ศพที่วัด จะไว้ศพที่บ้าน และถ้าเป็นไปได้จะไว้ศพในบ้านเสียด้วยซ่ำ เมื่อถึงวันฌาปนกิจศพ หรือเผาศพ ก็จะมีการเซ่นไหว้ครั้งใหญ่ก่อนเคลื่อนย้ายศพไปวัดเพื่อฌาปนกิจ เครื่องเซ่นไว้จะประกอบไปด้วย ข้าว 5 ถ้วย กับข้าว 5 อย่าง หัวหมู ไก่ต้ม ไข่ต้ม หมูสามชั้นต้ม หมี่เหลืองผัด กุ้ง หอย ปู ปลา ผลไม้ 5 อย่าง ขนมขึ้น เมื่อมีการเซ่นไหว้ทุกครั้งจะต้องมี สัปรด น้ำชา 3 จอก เหล้าขาว 5 จอก(หลานๆ บอกว่าเจ็คไม่กินเหล้าขาว แต่มีคนบอกว่าเป็นการไหว้ตามประเพณี ^^ ) ซึ่งแต่ละอย่างมีความหมาย แต่ผมจำไม่ได้ต้องหาอีกครั้งนึง ตัวอย่างเครื่องเซ่นไหว้ เมื่อถึงพิธีเซ่นไหว้ จะมีการเซ่นไหว้โดยแบ่งออกเป็นคณะ แต่เพื่อความสะดวกและรวบรัดจึงมีการไหว้เพียงไม่กี่คณะ ซึ่งก็เหมือนเดิมคือผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าจะไม่รวมการเซ่นไหว้ครั้งนี้ คณะแรกจะเป็นผู้ไกล้ชิดผู้ตายมากที่สุดเริ่มตั้งแต่ลูกและภรรยา หลังจากนั้นก็จะเป็นน้องๆ แล้วก็หลานๆ และก็มิตรรักและผู้คนที่นับถือผู้ตาย หากเป็นเมื่อสมัยก่อนนั้น ต้องแยกออกเป็นเขย เป็นสะไภ้ ไหว้กันหลายยกหล

ด้วยระลึกถึงคุณย่า บันทึกจากความทรงจำ

บันทึกนี้เขียนขึ้นเพื่อบันทึกความทรงจำของผมที่มีต่อคุณย่าที่ล่วงลับไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนคืน คุณย่าเปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ร้อยครอบครัวใหญ่ของเราเอาไว้ไม่ให้แตกแยก หลังจากที่เสียคุณปู่ไปเมื่อ 23 ปีก่อน เนื่องจากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต มีชาวจีนอาศัยอยู่มาก แต่มักจะเป็นชาวจีนที่อพยพมาไทยนานแล้ว จากการการสังเกตของผม ชาวจีนแถบนี้โดยมากน่าจะเป็นชาว เปอรานากัน หรือชาวจีนที่อพยพมาจากจีนแล้วตั้งถิ่นฐานอยู่ในแหลมลายูหรืออินโดนีเซีย แล้วหลังจากนั้นจึงอพยพมาอาศัยต่อที่ประเทศไทย จากการบอกเล่าของคุณแม่ ก๋งเคยเล่าให้ฟังว่าตอนยังเด็กเคยแจวเรือจ้างอยู่ที่ปีนัง คุณย่าเคยเล่าว่าเป็นชาวฮกเกี้ยน อีกทั้วจากรูปวาดคุณย่าทวดที่มีการเกล้ามวยผม สวมเสื้อคอลึก ส่วนทางบ้านมีการใช้คำเรียกจีนผสมไทยถิ่นใต้อยู่มาก ผู้หญิงทุกคนนิยมสวมผ้าปาเต๊ะ เสื้อลูกไม้ (เสื้อฉลุลายดอกไม้) อาหารการกินเป็นแบบชาวไทยถิ่นใต้ทุกประการ (กินน้ำพริก แกงส้มเก่งกันทุกคน ยกเว้นก๋ง :D) อีกทั้งก๋งเกิดที่ดินแดนแถบนี้ไม่ได้เดินทางมาจากเมืองจีน (บางทีเรียก เตี่ยต่อเตี่ย คือ ทวดมาจากจีน ส่วนสถานที่เกิดไม่แน่ใจว่าเป็นปีนังหรือไทย)