ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทหาร VS พลเรือน: ความคิดไม่ตรงกัน

ถึงแม้ว่าผมจะเคยเรียนวิชาทหารอยู่บ้างครั้งตอนเรียนมัธยม ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทหารประเทศไทยทำไมไม่พัฒนาเทคโนโลยีใมช้เอง จนวันก่อนผมได้มีโอกาสคุยกับผู้หมวดทหารบก แล้วผมถามเข้าว่าทำไมทหารไทยไม่พัฒนาเทคโนโลยีใช้เองทำไมต้องซื้อเขาอยู่เรื่ยย ผู้หมวดตอบว่าทหารไม่ได้มีเวลาว่างมาคิดคนสิ่งเหล่านี้ พลเรือนซิต้องช่วย ตอบอย่างนี้ชักสงสัยเลยถามต่อไปว่า แล้วห็นสอบนายร้อยที่ทั้งประเทศคนเข้าได้เก่งๆ ทั้งนั้น หัวสมองก็ชั้นนำของประเทศนะน่าจะมีหน่วยงานพี่พัฒนาศักยภาพบุคลากรที่มีความสามารถ เพื่อที่จะได้มาเป็นนักวิจัยทางการทหารที่ดีได้นิ มันก็บอกอีกว่าก็ไอ้คนที่สอบได้ที่หนึ่งของประเทศไปเรียนายร้อยบางครั้งยังเกือบซ้ำชั้นเลย (หมายความว่าไงหว่า) ผมก็ถามต่อไปว่า เอ้าก็เห็นอาจารย์ที่โรงเรียนยายร้อยเก่งๆ กันหลายคนนี้เห็นมีบทความทางวิชาการออกมาจากรั่วทหารอยู่บ่อย ผู้หมวดก็ตอบว่านั้นอาจารย์ อิอิ อือ ถ้าอย่างนั้นสวัสดอฅิการทหารละเป็นไงบ้าง ผู้หมวดตอบเลี่ยงๆ ว่า ที่จริงทหารน่าจะได้สวัสดิการและเงินเดือนเพิ่มมากว่านี้ดูหทารสิงคโปร์ดิ เงินเดือนเยอะ อยู่สบาย ถ้าได้ไปเป็นทหารที่ต่างประเทศรวยไปแล้ว อือ ผมไม่รู้ว่าทหารทุกท่านคิดเหมือนเพื่อนสนิทของผมเหมือนกันทุกท่านหรือไม่ แต่โปรดได้ทราบไว้ว่าพลเรือนอย่างพวกผมคาดหวังกับนายทหารมากกว่าที่ท่านคิด หลายๆครั้งผมคิดว่า ทหารเป็อาชีพที่ได้รับเกียรติจากสังคมมาก ขนาดรับพระราชทานกระบี่ ในหลวงยังเสด็จโดยพระองค์เอง ผมคิดว่านักเรียนที่เรียนโรงเรียนนายร้อยจะจบออกมาและมุ่งที่จะดำรงอุดมการณ์แห่งวิชาชีพอย่างแรงกล้า มากว่าการกล่าวคำคำปฏิญาณแต่ต้องแสดงออกด้วยการกระทำ อาจเป็นเพราะทหารได้รับการอบรมให้อยู่ในวินัยให้อยู่ในโอวาทของผู้บังคับบัญชา นั้นหมายความว่าท่านจะคิดอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมไม่ได้เชียวหรือถ้าไม่มีคำสั่ง ผมถามไปอีกว่า แล้วเรียนจบวุฒิวิศวะ หรือ วิทยาศาสตร์ มา ไม่คิดจะปรับปรุงอะไรให้หน่วยงานมั้งเหรอ ผู้หมวดของผมก็ตอบว่าไม่มีงบประมาณ ฮะๆๆ คาดแล้วว่าตอบมาอย่างนี้นั้นหมายความว่าสายบังคับบัญชาที่เข้มแข็งทำให้นายทหารรุ่นใหม่ที่ไม่มีจิตใจที่เข็มแข็งพอไม่กล้าที่จะทำอะไร นอกคำสั่งถึงแม้เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องดี และคำพูดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ใช้ทหารทุกคนที่จะรู้จักเศรษฐกิจพอเพียง เพราะไม่มีงบประมาณก็ทำอะไรไม่ได้นั้นเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวเอ๋ยตัวผม

กลอนนี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเขียนขึ้นมาในห้องเรียนวิชาสัมนา 1 เพราะอาจารย์อยากให้แนะนำตัวเองเป็นกลอน ไม่รู้จะแต่งว่าไงเลยแต่งออกมาเป็นดอกสร้อย เห็นว่าพอใช้ได้เลยเอามาลงไว้เป็นอนุสร ๏ ตัวเอ๋ยตัวผม นิยมในพระพุทธศาสนา ตั้งจิตตั้งใจตั้งหน้า ใฝ่หาความรู้สู่ตน ตั้งใจศึกษาให้เชี่ยวชาญ ชำนาญในศาสตร์ที่ฝึกฝน ฝึกจิตฝึกสันดานให้เป็นคน เป็นชนในชาติที่ดีเอย ๚ะ๛

บันทึกการจัดงานศพ: พิธีฌาปนกิจศพ

ตรงส่วนนี้คงจะเขียนเกี่ยวกับพิธียกศพออกจากบ้าน และเกร็ดต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ เนื่องจากที่จัดงานจะไม่นิยมไว้ศพที่วัด จะไว้ศพที่บ้าน และถ้าเป็นไปได้จะไว้ศพในบ้านเสียด้วยซ่ำ เมื่อถึงวันฌาปนกิจศพ หรือเผาศพ ก็จะมีการเซ่นไหว้ครั้งใหญ่ก่อนเคลื่อนย้ายศพไปวัดเพื่อฌาปนกิจ เครื่องเซ่นไว้จะประกอบไปด้วย ข้าว 5 ถ้วย กับข้าว 5 อย่าง หัวหมู ไก่ต้ม ไข่ต้ม หมูสามชั้นต้ม หมี่เหลืองผัด กุ้ง หอย ปู ปลา ผลไม้ 5 อย่าง ขนมขึ้น เมื่อมีการเซ่นไหว้ทุกครั้งจะต้องมี สัปรด น้ำชา 3 จอก เหล้าขาว 5 จอก(หลานๆ บอกว่าเจ็คไม่กินเหล้าขาว แต่มีคนบอกว่าเป็นการไหว้ตามประเพณี ^^ ) ซึ่งแต่ละอย่างมีความหมาย แต่ผมจำไม่ได้ต้องหาอีกครั้งนึง ตัวอย่างเครื่องเซ่นไหว้ เมื่อถึงพิธีเซ่นไหว้ จะมีการเซ่นไหว้โดยแบ่งออกเป็นคณะ แต่เพื่อความสะดวกและรวบรัดจึงมีการไหว้เพียงไม่กี่คณะ ซึ่งก็เหมือนเดิมคือผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่าจะไม่รวมการเซ่นไหว้ครั้งนี้ คณะแรกจะเป็นผู้ไกล้ชิดผู้ตายมากที่สุดเริ่มตั้งแต่ลูกและภรรยา หลังจากนั้นก็จะเป็นน้องๆ แล้วก็หลานๆ และก็มิตรรักและผู้คนที่นับถือผู้ตาย หากเป็นเมื่อสมัยก่อนนั้น ต้องแยกออกเป็นเขย เป็นสะไภ้ ไหว้กันหลายยกหล

ด้วยระลึกถึงคุณย่า บันทึกจากความทรงจำ

บันทึกนี้เขียนขึ้นเพื่อบันทึกความทรงจำของผมที่มีต่อคุณย่าที่ล่วงลับไปแล้วอย่างไม่มีวันหวนคืน คุณย่าเปรียบเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ร้อยครอบครัวใหญ่ของเราเอาไว้ไม่ให้แตกแยก หลังจากที่เสียคุณปู่ไปเมื่อ 23 ปีก่อน เนื่องจากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต มีชาวจีนอาศัยอยู่มาก แต่มักจะเป็นชาวจีนที่อพยพมาไทยนานแล้ว จากการการสังเกตของผม ชาวจีนแถบนี้โดยมากน่าจะเป็นชาว เปอรานากัน หรือชาวจีนที่อพยพมาจากจีนแล้วตั้งถิ่นฐานอยู่ในแหลมลายูหรืออินโดนีเซีย แล้วหลังจากนั้นจึงอพยพมาอาศัยต่อที่ประเทศไทย จากการบอกเล่าของคุณแม่ ก๋งเคยเล่าให้ฟังว่าตอนยังเด็กเคยแจวเรือจ้างอยู่ที่ปีนัง คุณย่าเคยเล่าว่าเป็นชาวฮกเกี้ยน อีกทั้วจากรูปวาดคุณย่าทวดที่มีการเกล้ามวยผม สวมเสื้อคอลึก ส่วนทางบ้านมีการใช้คำเรียกจีนผสมไทยถิ่นใต้อยู่มาก ผู้หญิงทุกคนนิยมสวมผ้าปาเต๊ะ เสื้อลูกไม้ (เสื้อฉลุลายดอกไม้) อาหารการกินเป็นแบบชาวไทยถิ่นใต้ทุกประการ (กินน้ำพริก แกงส้มเก่งกันทุกคน ยกเว้นก๋ง :D) อีกทั้งก๋งเกิดที่ดินแดนแถบนี้ไม่ได้เดินทางมาจากเมืองจีน (บางทีเรียก เตี่ยต่อเตี่ย คือ ทวดมาจากจีน ส่วนสถานที่เกิดไม่แน่ใจว่าเป็นปีนังหรือไทย)