บันทึกนี้เขียนขึ้นมิได้มีจุดประสงค์อื่นใดนอกจากแสดงความคิดเห็นว่า วงการนักวิชาการกับชาวบ้านทั่วไปเขาคิดกันอย่างไร ในขณะนี้มีเรื่องที่ทุกท่านน่าจะทราบกันดีตามข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ อาทิเช่น
แต่ที่ยกตัวอย่างสองอันนี้ขึ้นมาเนื่องจากผมอ่านแล้วสะเทือนใจมากครับว่าทำไม่นักวิชาการ นักการเมือง เขาทำอะไรกันอยู่นะเนีย หากทุกคนต้องการระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย แล้วทำไมไม่ถามความเห็นชาวบ้านตาดำๆ ก่อนว่าคิดอย่างไรกันบ้าง ในเมื่อประชาธิปไตยมีจัยความหลักอยู่ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนตามที่ผมเรียนมา ถึงแม้ว่าประเทศไทยใช้ระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน แต่ถามจริงว่ากฏหมายมาตรา 112 มันมีความสำคัญต่อคนไทยทั้งประเทศทำไมไม่ถามประชาชนสักหน่อยว่าพวกชาวบ้านอย่างผมรู้สึกอย่างไร ต้องการให้แก้ไขหรือเปล่า ผมไม่อาจจะตอบแทนคนเหล่านั้นได้ แต่ในใจแล้วผมขอย้อนกลับไปถามว่าแก้ไปทำไม หากคำตอบที่แว่วอยู่ในใจผมไม่ผิดพลาด มันหมายถึงแก้เพื่อที่จะสนองความต้องการบางอย่างของกลุ่มคนบางคนเท่านั้นเอง ซึ่งดูไปดูมาแล้วก็ยังไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของระบอบเท่าใดนักเนื่องจากกฏหมายมาตรานี้ไม่ทำให้ พ่อเฒ่า แม่เฒ่า ทั้งหลายเดือนร้อนแต่ประการใด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเขียนไว้อย่างไรมีแต่นักวิชาการ และ นักการเมืองเท่านั้นที่ทำให้มันเดือดร้อนวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้น ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ แทนที่ท่านนักวิชาการ จะเสนอแนวทางแก้ปัญหาเศรฐกิจ นักการเมืองจะตั้งใจทำงานกลับมากกัดกันเพื่อแย้งอำนาจ และปรามาสว่าด้อยปัญญา และอ้างว่าทำเพื่อประชาชน แต่ที่จริงแล้วชาวบ้านอย่างพวกผมไม่ต้องการอะไรไปกว่ามีทรัพย์สินพอเพียงต่อการดำรงชีวิต ไม่เป็นหนี้สินใครแค่นี้ชาวบ้านทั้งหลายก็พอใจมากแล้ว
มาตร 112 เมื่อถามว่ากระทบต่อบุคคลในวงกว้างหรือไม่ ผมก็ตอบว่าแทบจะมีแค่หยิบมือเดียวส่วนใหญ่แล้ว เป็นนักวิชาการที่เป็นนักเรียนนอก นักวิชาการที่มีความคิดตามอย่างแนวตะวันตก หรือประชาชนหัวสมัยใหม่เพียงหยิบมือเดียวที่ไม่เคยเข้าใจว่า สิทธิ และ หน้าที่ ต่างกันอย่างไร ซึ่งบุคคลเหล่านี้มักจะดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศทั้งนั้น น้อยคนนักที่จะเข้าใจความหมายเหล่านี้ และน้อยคนนักที่จะเข้าใจเจตนารมณ์ของรัฐธรรมณูญ ก็ในเมื่ออำนาจมันบังตา มีอคติทั้ง 4 ประการอย่างบริบูรญ์ แล้วจะรู้ได้อย่างไร สู้ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำก็ไม่ได้ทั้งๆ ที่มีความรู้น้อยก็ยังรู้จักปฏิบัติตนตามหน้าที่ของมนุษณ์ ใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามโอกาศอันควรอีกด้วย ผมว่านักวิชาการ นักการเมืองน่าจะอายตายายเหล่านี้บ้าง ทั้งๆที่ยืนอยู่บนภาษีที่พวกผมจ่ายเพื่อให้เป็นเงินเดือนของพวกท่านโดยแท้
มาตร 112 จึงไม่มีสาระที่จะนำมาพูดถึงเสียด้วยซ้ำ เพราะมันไม่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่เลย มีแต่นักโทษเท่านั้นแหละที่ร้องให้แก้กฏหมายเมื่อทำผิดเพราะถ้าผมจำไม่ผิดมันมีมานานตั้งแต่เรามีรัฐธรรมนูญมมาเลยก็ว่าได้เพียงแต่พึ่งมามีปัญหาในยุกต์นี้เท่านั้นเอง
รัฐธรรมนูญปี 2550 เป้นฉบับที่มาจากประชามติอย่างนั้นก็น่าจะให้เกียรติชาวบ้านตาดำๆ ที่อุตสาหะไปลงมติรับร่างบ้างไม่ใช้พอมีอะไรทำได้ลำบากแล้วไปอ้างว่ากฏหมายผิด ถามชาวบ้าเขายังรู้กันเลยว่าเพียงแต่เขาบรรยายออกมาเป็นสำนวนสวยๆดังนักวิชาการใช้กันไม่ได้เท่านั้นเอง เอะอะก็รัฐประหาร อะไรกันนิ พวกนักการเมือง ชาวบ้านเดือดร้อนรู้อะเปล่า ^^
- เรียนท่านผู้นำ โปรดอย่าบิดประเด็น-ป้ายสีคนที่เห็นต่างจากท่าน
- 4 คำถามสัมภาษณ์ ‘เกษียร เตชะพีระ’ เรื่องคดีหมิ่นพระมหากษัตริย์กับ
แต่ที่ยกตัวอย่างสองอันนี้ขึ้นมาเนื่องจากผมอ่านแล้วสะเทือนใจมากครับว่าทำไม่นักวิชาการ นักการเมือง เขาทำอะไรกันอยู่นะเนีย หากทุกคนต้องการระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย แล้วทำไมไม่ถามความเห็นชาวบ้านตาดำๆ ก่อนว่าคิดอย่างไรกันบ้าง ในเมื่อประชาธิปไตยมีจัยความหลักอยู่ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนตามที่ผมเรียนมา ถึงแม้ว่าประเทศไทยใช้ระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน แต่ถามจริงว่ากฏหมายมาตรา 112 มันมีความสำคัญต่อคนไทยทั้งประเทศทำไมไม่ถามประชาชนสักหน่อยว่าพวกชาวบ้านอย่างผมรู้สึกอย่างไร ต้องการให้แก้ไขหรือเปล่า ผมไม่อาจจะตอบแทนคนเหล่านั้นได้ แต่ในใจแล้วผมขอย้อนกลับไปถามว่าแก้ไปทำไม หากคำตอบที่แว่วอยู่ในใจผมไม่ผิดพลาด มันหมายถึงแก้เพื่อที่จะสนองความต้องการบางอย่างของกลุ่มคนบางคนเท่านั้นเอง ซึ่งดูไปดูมาแล้วก็ยังไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของระบอบเท่าใดนักเนื่องจากกฏหมายมาตรานี้ไม่ทำให้ พ่อเฒ่า แม่เฒ่า ทั้งหลายเดือนร้อนแต่ประการใด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเขียนไว้อย่างไรมีแต่นักวิชาการ และ นักการเมืองเท่านั้นที่ทำให้มันเดือดร้อนวุ่นวายไม่รู้จักจบจักสิ้น ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ แทนที่ท่านนักวิชาการ จะเสนอแนวทางแก้ปัญหาเศรฐกิจ นักการเมืองจะตั้งใจทำงานกลับมากกัดกันเพื่อแย้งอำนาจ และปรามาสว่าด้อยปัญญา และอ้างว่าทำเพื่อประชาชน แต่ที่จริงแล้วชาวบ้านอย่างพวกผมไม่ต้องการอะไรไปกว่ามีทรัพย์สินพอเพียงต่อการดำรงชีวิต ไม่เป็นหนี้สินใครแค่นี้ชาวบ้านทั้งหลายก็พอใจมากแล้ว
มาตร 112 เมื่อถามว่ากระทบต่อบุคคลในวงกว้างหรือไม่ ผมก็ตอบว่าแทบจะมีแค่หยิบมือเดียวส่วนใหญ่แล้ว เป็นนักวิชาการที่เป็นนักเรียนนอก นักวิชาการที่มีความคิดตามอย่างแนวตะวันตก หรือประชาชนหัวสมัยใหม่เพียงหยิบมือเดียวที่ไม่เคยเข้าใจว่า สิทธิ และ หน้าที่ ต่างกันอย่างไร ซึ่งบุคคลเหล่านี้มักจะดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศทั้งนั้น น้อยคนนักที่จะเข้าใจความหมายเหล่านี้ และน้อยคนนักที่จะเข้าใจเจตนารมณ์ของรัฐธรรมณูญ ก็ในเมื่ออำนาจมันบังตา มีอคติทั้ง 4 ประการอย่างบริบูรญ์ แล้วจะรู้ได้อย่างไร สู้ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำก็ไม่ได้ทั้งๆ ที่มีความรู้น้อยก็ยังรู้จักปฏิบัติตนตามหน้าที่ของมนุษณ์ ใช้สิทธิอย่างถูกต้องตามโอกาศอันควรอีกด้วย ผมว่านักวิชาการ นักการเมืองน่าจะอายตายายเหล่านี้บ้าง ทั้งๆที่ยืนอยู่บนภาษีที่พวกผมจ่ายเพื่อให้เป็นเงินเดือนของพวกท่านโดยแท้
มาตร 112 จึงไม่มีสาระที่จะนำมาพูดถึงเสียด้วยซ้ำ เพราะมันไม่มีผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่เลย มีแต่นักโทษเท่านั้นแหละที่ร้องให้แก้กฏหมายเมื่อทำผิดเพราะถ้าผมจำไม่ผิดมันมีมานานตั้งแต่เรามีรัฐธรรมนูญมมาเลยก็ว่าได้เพียงแต่พึ่งมามีปัญหาในยุกต์นี้เท่านั้นเอง
รัฐธรรมนูญปี 2550 เป้นฉบับที่มาจากประชามติอย่างนั้นก็น่าจะให้เกียรติชาวบ้านตาดำๆ ที่อุตสาหะไปลงมติรับร่างบ้างไม่ใช้พอมีอะไรทำได้ลำบากแล้วไปอ้างว่ากฏหมายผิด ถามชาวบ้าเขายังรู้กันเลยว่าเพียงแต่เขาบรรยายออกมาเป็นสำนวนสวยๆดังนักวิชาการใช้กันไม่ได้เท่านั้นเอง เอะอะก็รัฐประหาร อะไรกันนิ พวกนักการเมือง ชาวบ้านเดือดร้อนรู้อะเปล่า ^^
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น